‘วิชา’ จ่อฟัน ม.157 เจ้าหน้าที่เอี่ยวคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ หลังพบพิรุธเพียบ ด้าน ‘พ.ต.อ.ธนสิทธิ’ พยานสำคัญยอมรับถูกกดดันหนัก
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 ส.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ นายมุนินทร์ พงศาปาน คณะบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เมื่อปี 2555 เปิดเผยก่อนเริ่มการประชุมคณะกรรมการฯ ชุดใหญ่ ว่า ช่วงเช้าคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดตำรวจของนายวิชา มหาคุณ ได้ประชุมชุดเล็ก โดยเชิญ พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เข้ามาชี้แจงถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องความเร็วรถ กรณีกลับคำให้การ
นายมุนินทร์ กล่าวต่อว่า ทาง พ.ต.อ.ธนสิทธิ ยืนยันว่าที่ผ่านความเร็วรถของนายวรยุทธ อยู่ที่ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก่อนหน้านี้มีความพยายามยืนยันถึงความเห็นเดิมตั้งแต่แรก แต่ยังไม่มีโอกาสได้มาให้สัมภาษณ์ ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ธนสิทธิ ยืนยันว่าไม่ได้ถูกกดดันจากบุคคลใดทั้งสิ้น หลังจากนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดนี้จะมีการเชิญบุคคลอื่นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้ง อดีต ผบ.ตร.หรือบุคคลอื่นๆ ซึ่งต้องพิจารณาอีกครั้งภายหลังการชี้แจงของพล.ต.ท. เพิ่มพูน ชิดชอบ ผช.ผบ.ตร. ก่อนจะหารือว่าจะต้องเชิญใครเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มอีกบ้าง
ต่อมาเวลา 16.00 น. นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังสอบข้อเท็จจริง พ.ต.อ.ธนสิทธิ แตงจั่น ว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ ถือเป็นพยานที่มีน้ำหนักทำให้อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถ จาก 177 เป็น 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเพียงครั้งเดียว คือ ในวันที่ 26 ก.พ. 59 และยืนยันว่าไม่ได้เข้าให้ข้อมูลกับเจ้าพนักงานสอบสวนในวันที่ 2 มี.ค. 59 ตามที่ถูกกล่าวอ้าง และไม่ทราบว่า อาจารย์สายประสิทธิ์ เกิดนิยม เข้ามาได้อย่างไร ทราบเพียงเป็นผู้ทำข้อมูลในคดีเสี่ยชูวงษ์ จึงทำให้เชื่อถือในข้อมูล
นายวิชา กล่าวต่อว่า พ.ต.อ.ธนสิทธิ ได้กลับมาทบทวนและเชื่อว่าไม่ถูกต้อง จึงพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลกลับไปอยู่ที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ พ.ต.อ.วิรดล ทับทิมดี ซึ่งขณะนั้นเป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีอ้างว่าทำคดีอื่นซับซ้อน ทำให้เกิดความสับสน จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ พ.ต.อ.ธนสิทธิ ถือเป็นพยานคนสำคัญมากในกรณีที่คณะกรรมการฯ กำลังตรวจสอบ โดยเจ้าตัวยอมรับกับคณะกรรมการฯ ว่าตอนนั้นถูกกดดันหนักมาก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ใครเป็นคนกดดัน นายวิชา กล่าวว่า ไม่ได้บอกตรงๆ แต่บอกว่าคนที่พาอาจารย์สายประสิทธิ์ มาคือ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง โดยเรียกเข้าไปพบ และแนะนำให้รู้จักกับอาจารย์สายประสิทธิ์ ซึ่งมีการพูดคุยกันในห้องของ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก ที่ขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน แต่เจ้าตัวไม่ได้คุยด้วย เพียงแค่ใช้สถานที่เท่านั้น จึงทำให้คณะกรรมการมีมติให้เชิญ พล.ต.อ.สมยศ มาชี้แจงและให้ข้อมูล ตอนนี้ทำหนังสือเรียบร้อยแล้ว คณะทำงานอยู่ระหว่างติดต่อ โดยจะนัดให้มาพบคณะกรรมการชุดใหญ่ในวันที่ 20 ส.ค.นี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาคาร 3 เวลา 13.30 น. รวมถึงจะเรียกทางอัยการสูงสุดมาด้วยในวันดังกล่าว
นายวิชา เปิดเผยอีกว่า เป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยของ พ.ต.อ.ธนสิทธิ เนื่องจากขณะนี้เจ้าตัวแจ้งกับทางคณะกรรมการฯ รู้สึกกังวล เพราะมีคนคอยติดตามอยู่ตลอด ทางคณะทำงานจึงประสานไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อดำเนินการคุ้มครองพยานอย่างดีที่สุด ทั้งนี้จะตรวจสอบว่าในการทำสำนวน จะต้องมีใครเกี่ยวข้องและรับผิดชอบ ส่วนข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบทั้งหมด นอกจาก พ.ต.อ.วิรดล ที่เป็นเจ้าของสำนวนคดี ก็ยังมีบุคคลอื่น ซึ่งอยู่ในกระบวนการ แต่ไม่เปิดเผยว่ามีบุคคลใดบ้างabout:blank
นอกจากนี้คณะทำงานตรวจสอบตำรวจจะเชิญผู้บังคับการกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับผิดชอบการออกหมายแดง หรือหมายจับอินเตอร์โพล และการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาให้ข้อมูลต่อข้อมูลต่อคณะกรรมการตรวจรับพฤหัสบดีนี้เช่นเดียวกัน รวมถึงเชิญตำรวจที่เชียงใหม่มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายจารุชาติ มาดทอง รวมถึงการชันสูตรพลิกศพ ในช่วงเช้าวันพฤหัสที่ 20 ส.ค. ด้วย
นายวิชา กล่าวถึงการเข้าให้ข้อเท็จจริงของพล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่า เจ้าตัวได้ชี้แจงเรื่องการมอบอำนาจว่า เป็นไปตามระบบคำสั่งเป็นเด็ดขาดไม่รับคืน และที่ไม่เห็นแย้งอัยการเพราะไม่มีข้อมูลใดผิดปกติ แต่ยอมรับว่า เพิ่งทราบว่ามีการกดดัน พ.ต.อ.ธนสิทธิ เมื่อวานนี้(17 ส.ค.)จากสื่อ ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ว่ามีการกดดัน และทำสำนวนอันเป็นเท็จ ตนไม่ยอมหรอก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คณะกรรมการจะต้องนำไปพิจารณากระบวนการทำงานของตำรวจต่อไป ขณะเดียวกันก็ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมไปดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดีนี้
เมื่อถามว่าข้อมูลจากคณะทำงานทั้งหมดจนถึงขณะนี้ เห็นได้ชัดแล้วหรือไม่ว่าเป็นกระบวนการเอื้อในทางคดีให้กับนายวรยุทธ หรือบอส นายวิชา กล่าวว่า อย่างที่สื่อมวลชนบอก เราก็รู้กันดีอยู่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ใช่แค่คดีรถชนกันตาย แต่จริงๆ แล้วไม่ปกติ เหมาะสมแล้วที่นายกรัฐมนตรีจะต้องตั้งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบโดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อสอบเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วจะมีการสรุปว่ามีคนบกพร่อง กระทำผิดตาม ม.157 กี่คน แต่อย่าไปถึงขั้นนำเสนอว่า ไล่ออกจากราชการ เอาเป็นว่าตอนนี้พบมีความผิดปกติ
ส่วนข้อวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียที่มองว่า คณะกรรมการชุดนี้เป็นขบวนการสอบเพื่อช่วยกัน นายวิชา กล่าวว่า ถ้าช่วยกัน ตนจะออกมาเปิดเผยข้อมูลพิรุธและบอกว่ามันผิดปกติทำไม มีหรือไม่ที่ตนบอกว่าไม่มีผิดปกติเลย เดี๋ยวเมื่อเสร็จสิ้นก็จะมีการสรุปและแถลงต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง
ติดตามข่าวทาง
Facebookhttps://www.facebook.com/PAKPHRIAONE